"ท่านเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ
เรื่องการมองการณ์ไกล
ของหลวงพ่อธัมมชโยในหลาย ๆ เรื่อง
ได้ข้อสรุปว่า
ถ้าหลวงพ่อธัมมชโยให้ทำอะไร
เราก็ทำไปเถอะ
เพราะเราตามท่านไม่ทันหรอก"
๑. ตามไม่ทัน
สมัยที่เริ่มต้นสร้างวัด หลวงพ่อธัมมชโยได้บอกให้หลวงพ่อไปชักชวน
นักศึกษามา ๕๐๐ คน เพื่อมาปลูกต้นไม้ ตอนนั้นมีต้นไม้อยู่ ๒,๐๐๐ต้น
หลวงพ่อก็คิดไปถึงจุดที่ทำให้งานสำเร็จรวดเร็ว ท่านเลยจัดการว่าจ้าง
คนงานมาลุยปลูกให้เสร็จสองพันต้นไปเลย
พอหลวงพ่อธัมมชโยทราบว่าต้นไม้ปลูกเสร็จแล้ว ท่านก็บอกต่อ
เลยว่า ให้ไปชวนนักศึกษามาฟังธรรมะกันพอได้ยินดังนั้น
ท่านก็เพิ่งจะตามความคิดของหลวงพ่อธัมมชโยได้ทัน
การชวนนักศึกษามาปลูกต้นไม้ ง่ายกว่าการชวนนักศึกษามาฟังธรรม
งานนี้ก็เลยต้องเสียเงิน ๒ ต่อ เสียเงินไปว่าจ้างคนงานมาปลูก
ต้นไม้แล้ว ก็ต้องกลับไปจ้างเขาให้ถอนขึ้นมาอีกรอบ เพื่อเตรียมไว้ให้
นักศึกษามาปลูก เมื่อนักศึกษามาถึงวัด ก่อนที่จะให้เขาไปปลูกต้นไม้
ก็อบรมเทศน์ให้เขาฟัง ให้เขานั่งสมาธิกันเสียก่อน
อาทิตย์แรกที่เขามาก็เริ่มให้ปลูกต้นที่ ๑ อาทิตย์ต่อมาก็ปลูกต้นที่ ๒
อาทิตย์ต่อ ๆ ไปปลูกต้นที่ ๓ ต้นที่ ๔ สรุปว่านักศึกษาก็เลยได้มา
วัดทุกอาทิตย์ ชวนให้มาปลูกต้นไม้ง่ายกว่าที่จะชวนมาฟังเทศน์จริง ๆ นี่คือ
สิ่งที่ตอนนั้นหลวงพ่อท่านยังตามความคิดหลวงพ่อธัมมชโยไม่ทัน
๒. สังขารไม่ให้
ตอนที่ท่านฝึกชุดของหลวงพี่ เป็นยุคที่หลวงพ่อทัตตชีโวท่านจะวางมือ
ตอนนั้นประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ หลวงพ่อบอกว่า จะฝึกพระรุ่นนี้
เป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว คือ ท่านจะปล่อยวาง ท่านจะไปหาที่วิเวกนั่งธรรมะ
หลวงพี่ได้เรียนรู้และฝึกอยู่กับหลวงพ่ออยู่ช่วงหนึ่ง ก็ขึ้นไปนั่ง
ธรรมะกับหลวงพ่อธัมมชโยที่ดอยสุเทพ
นั่งได้สักระยะ หลวงพ่อทัตตชีโวท่านก็ขึ้นมานั่งธรรมะด้วย ก็ได้
เจอท่าน ได้ไปอุปัฏฐากท่าน ท่านนั่งได้ระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะสุขภาพ
ท่านเริ่มไม่ค่อยดี ปีถัดมาหลวงพ่อท่านก็มาพูดที่โบสถ์ว่า
'จริง ๆ หลวงพ่อคิดว่าจะนั่งสมาธิไปตลอด แต่พอไปนั่งจริง ๆ จึงได้รู้ว่า
มันสายไปแล้ว ร่างกายมันไม่ให้ สังขารไม่ให้พอนั่งธรรมะไปได้ระดับหนึ่ง
มันเข้าไปไม่ได้ เพราะสังขารมันไม่สามารถรองรับได้ ลมมันจะขึ้น
เกิดอาการสะดุดติดขัด นั่งได้แค่เป็นช่วง ๆ ท่านก็เลยมาคิดว่า
การที่ว่าท่านจะปลีกตัวมานั่งสมาธิ ถ้าท่านนั่งต้องนั่งให้ดีไปเลย
แต่ถ้านั่งได้แบบนี้ ท่านยอมเสียสละกลับมาเป็นฐานอยู่ที่วัด
กลับมาช่วยให้คนที่เขามีกำลัง มีสุขภาพแข็งแรงไปนั่งดีกว่า
แล้วท่านก็ตัดสินใจจะอยู่เป็นหลักที่วัดพระธรรมกาย จะสอนคน
และสร้างคนรุ่นใหม่ สร้างคนนั่งธรรมะที่จะไปนั่งธรรมะกับหลวงพ่อ
ธัมมชโย และจะอยู่ปักหลักเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นี่'
ตอนนั้นลูก ๆ พระภิกษุก็น้ำตาซึม ท่านพูดเปิดใจว่า จริง ๆ แล้ว
เป้าหมายท่านต้องไปถึงนั้นแล้ว แต่ด้วยอายุสังขารของท่านกับสุขภาพ
ตอนนั้นท่านอายุแค่ ๕๐ ปีเองนะ ท่านรู้ตัวแล้วว่าท่านไปเส้นทางเรื่อง
ภาวนาไม่ได้ ท่านก็เลยตัดสินใจมาลุยงานหยาบ
ท่านบอกว่า ถ้าใครไปทางเส้นทางการปฏิบัติได้ ไปให้เต็มที่เลย
ส่วนท่านจะเป็นฐานให้เอง
๓. ปรับทิฐิ
ไม่ว่าจะเก่งมาจากไหน หลวงพ่อท่านจะปรับทิฐิมานะ ปรับความอวดดื้อ
ถือตัวให้ก่อน ซึ่งเรื่องหนึ่งที่เป็นตัวอย่างได้ดีคือเรื่องงานทำช้างเอราวัณ
แม้เราจะมีความรู้ความสามารถ เราเก่ง และชำนาญมาก่อน
เพราะจบด้านศิลปะมาโดยตรง แต่ว่าหลวงพ่อท่านจะชี้ข้อบกพร่อง
ของเรา จนกระทั่งเรารู้สึกว่าเราไม่เหลือความเก่งอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นพวกนี้เลย
วิธีการปรับทิฐิให้ ท่านไม่ได้ชี้ข้อบกพร่องของเราแบบข้าง ๆ คู ๆ
ท่านชี้แบบมีเหตุผล ท่านจะเทียบเคียงศิลปีนในอดีต หรือแนวคิดอะไรต่าง ๆ
ให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้น ซึ่งแต่เดิมเราเองด้วยความที่ถือว่าตัวเอง
ได้เล่าเรียนทางศิลปะมาโดยตรง ก็เลยไม่ได้มองถึงจุดนี้เท่าไหร่
ตอนที่เข้ามารับบุญช่วยท่านทำหนังสือ ถ้าจำไม่ผิดเป็นหนังสือ
เรื่องวินัย ตอนนั้นหลวงพี่ยังไม่ได้บวช มาเป็นอาสาสมัครช่วยงาน
ก็มีคนแนะนำให้มาเขียนภาพประกอบหนังสือ ตอนที่เขียนภาพประกอบ
หลวงพ่อท่านก็อธิบายร่ายยาว แล้วก็เอารูปแบบงานเขียนต่าง ๆ ที่ท่านต้องการมาให้ดู
เพื่อให้เราได้ศึกษาสไตล์ที่ท่านต้องการ
พอเราเขียนเสร็จก็มาถวายท่าน ท่านก็ไม่เอา ท่านให้เขียนใหม่
เหมือนเป็นบทฝึกให้เรา ท่านไม่เอาให้เขียนใหม่หลาย ๆ รอบ จนกระทั่ง
เรารู้สึกว่าหลวงพ่อจะเอาอะไรแน่ ก็เลยถามว่า หลวงพ่อจะเอาแบบ
ไหนครับ หลวงพ่อก็บอกว่า ถ้าหลวงพ่อรู้ หลวงพ่อก็ไม่ให้เองมาเขียนหรอก
ฟังอย่างนี้ทำให้รู้ว่า เรามีหน้าที่เขียนก็เขียนไป
จนกระทั่งเขียนได้ในสิ่งที่หลวงพ่อต้องการ ตอนที่ต้องกลับมาเขียนใหม่ซ้ำ ๆ นั้น
รู้สึกว่า การยึดมั่นในสไตล์ของตัวเองมันค่อย ๆ หายไป จนมันไม่มีเหลือแล้ว
เรามุ่งแต่จะหาความสมบูรณ์ที่สุด เพื่อที่จะมาตอบสนองงานที่ท่านต้องการให้ได้
ก็เลยต้องมามองย้อนว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องมาศึกษาเพิ่มเติม
แม้เรื่องของปริยัติ เรื่องของคัมภีร์ เรื่องของสไตล์การทำงานต่าง ๆ
ก็ต้องกลับมาศึกษาเอามาประมวล เหมือนเราต้องกลับมานั่งเรียนใหม่
เพื่อที่จะไปสู่ความสมบูรณ์ให้ได้มากที่สุด
ท่านให้หัดสังเกตงานของแต่ละคน ให้สังเกตมาก ๆ แล้วท่าน
บอกว่า มึงห้ามลอกเขาเด็ดขาด ถ้ามึงลอกแสดงว่ามึงไม่เหลืออะไรแล้ว
นั่นก็คือ เราต้องหาจุดยืนเป็นของตัวเอง แล้วเขียนออกมาเป็นสไตล์
ของตัวเองให้ได้ ถ้าจะมาอยู่กับหลวงพ่อธัมมชโย จะให้ได้ดีต้องผ่านหลวงพ่อก่อน
เพราะว่าจะได้ลดทิฐิมานะ ลดอะไรต่าง ๆ ลงมา จะได้มีความระมัดระวัง
มีความรอบรู้ มีความคล่องตัว มีความเฉลียวฉลาดในเรื่องของการ
รับฟังโอวาท และก็แปลงโอวาทหรือคำสั่งนั้นออกมาทำงาน
พอมาถึงหลวงพ่อธัมมชโยท่านก็จะต่อยอดความรู้ความสามารถของเราได้เลย